หลังปล่อยมือจากคฑาของโอดิน
ลอยหายไปในอวกาศอันเวิ้งว้าง ข้าได้ไปเยือนดวงดาวต่างๆด้วยหัวใจที่แตกสลาย
ทว่าความมืดมิดกลับหล่อหลอมหัวใจข้าขึ้นมาใหม่ให้เข้มแข็งและเหี้ยมโหดกว่าเดิม
บัดนี้ข้าไม่ใช่โลกิ เจ้าชายผู้ถูกทำร้ายอีกต่อไป เพราะข้ากำลังจะไปยึดครองโลกที่พี่รักและปกป้องอยู่
ด้วยกองทัพชิวารี่อันแข็งแกร่ง ขณะนั่งรอแม่ทัพใหญ่ชาวชีวารี่มาเจรจาอยู่นั้น
บรรยากาศมืดสลัวและหนาวเย็นของดาวดวงนี้ ก็ทำให้ข้านึกถึงความหลังเมื่อครั้งเยาว์วัยขึ้นมาอย่างไม่ตั้งใจ
ยามเช้าในวันที่อากาศดี
หลังแต่งตัวเรียบร้อยแล้ว ข้าก็เดินไปนั่งลงหน้าโต๊ะเครื่องแป้งในห้องส่วนตัวของข้า
บนโต๊ะมีของใช้วางอยู่ไม่กี่ชิ้น ไม่มากกว่าผู้ชายทั่วไปแน่นอน ข้าจ้องมองชายหนุ่มผมดำคลับในกระจก
ซึ่งก็คือตัวข้าเอง
ตั้งแต่รู้ความข้านึกสงสัยมาตลอด
ว่าทำไมทุกคนในครอบครัวจึงมีผมสีอ่อนยกเว้นข้า มันทำให้รู้สึกแปลกแยก กระทั่งคิดไปต่างๆนาๆว่าตัวเองไม่ใช่ลูกแท้ๆ
แต่เป็นเด็กที่ถูกเก็บมาเลี้ยง ท่านแม่บอกว่าบางครั้งลูกก็มีสีผมเหมือนปู ย่า ตา
ยาย หรือบรรพบุรุษก่อนหน้านั้น ทวดของข้ามีผมสีน้ำตาลเข้ม
จึงเป็นไปได้ว่าข้าได้ผมสีดำขลับมาจากท่าน นั่นช่วยทำให้รู้สึกสบายใจขึ้นบ้าง
ข้าใช้นิ้วแตะขี้ผึ้งจากในตลับมาลูบลงบนผม
จากนั้นก็ใช้หวีเสยผมขึ้นไป เป็นทรงเปิดเถิกที่ทำเป็นประจำ จนกลายเป็นเอกลักษณ์
แม้หน้าผากจะเถิก แต่ข้าหาได้คิดว่ามันเป็นปมด้อยแต่อย่างใด
เพราะหน้าผากกว้างเป็นโหงวเฮ้งของคนฉลาด
ขณะครุ่นคิดอะไรเงียบๆ
ข้าก็ได้ยินเสียงประตูกระแทกผนังดังปัง จึงหันไปดูว่าใครกันที่พยายามทำให้ข้าวของพังเร็วกว่าเวลาอันควร
เป็นทอร์อย่างที่คาดไว้ เขาเดินตรงมาหาข้าด้วยท่าทางตื่นเต้น
ในมือถือหนังสือมาด้วย
“ไม่รู้หรือไงว่าต้องเคาะประตู แล้วรอเจ้าของห้องอนุญาติก่อนถึงเข้ามาได้”
“อะไรกัน
ข้าเป็นพี่เจ้านะ ทำไมต้องขออนุญาติด้วย” ทอร์หลี่ตาลงมองข้าด้วยสายตาเจ้าเล่ห์
“นอกจากเจ้าซ่อนความลับบางอย่างไว้ หรือกำลังชักว่าว”
ข้าหันไปมองเขาด้วยสีหน้าเอือมระอา
“เจ้าเป็นเจ้าชายและยังเป็นว่าที่พระราชา ช่วยพูดจาให้มีสกุลรุนชาติหน่อยได้มั้ย!?”
“ฮ่า
ฮ่า” ทอร์หัวเราะเห็นเป็นเรื่องขบขัน ทั้งที่ข้าตั้งใจด่าจริงๆ
“มาหาข้าแต่เช้ามีเรื่องอะไร!?” ข้าถามเสียงห้วนอย่างรำราญ
“ดูนี่สิน้องข้า”
ทอร์เปิดหนังสือด้วยท่าทางกระตือรือร้น
เมื่อเห็นมุมกระดาษที่ถูกพับลงมาเพื่อคั่นหน้า ข้าก็อดหงุดหงิดขึ้นมาไม่ได้
อ่านต่อได้ที่นี่ค่ะ